วันต้นไม้แห่งชาติ
วันที่ ๑๒ พฤษภาคมของทุกปีเป็น “วันต้นไม้แห่งชาติ”
ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายป่าไม้แห่งชาติของรัฐบาลที่ประกาศเมื่อปลายปี
๒๕๒๘ กำหนดให้ปี ๒๕๒๘ - ๒๕๓๑ เป็นปีต้นไม้แห่งชาติ
และให้วันวิสาขบูชาเป็นวันต้นไม้แห่งชาติ
หลังจากพบว่าป่าไม้ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็วและแผนการดูแลบำรุงรักษาตลอดจนการ
ปลูกป่าทดแทนยังไม่ดีพอ
การมีประกาศดังกล่าวมีจุดประสงค์จะทำให้คนไทยตระหนักในคุณค่าของทรัพยากร
ป่าไม้มากขึ้น จะได้ช่วยกันอนุรักษ์ ไม่ตัดไม้ทำลายป่าและใช้ทรัพยากรฯ
อย่างประหยัด-คุ้มค่า เพื่อรุ่นลูกรุ่นหลานจะได้มีทรัพยากรใช้กันต่อๆไป
เมื่อ สิบกว่าปีก่อนได้เคยมีผู้คำนวนปริมาณการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากต้นไม้ของคนไทย กัน แล้วพบว่าคนหนึ่งคนจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากต้นไม้ถึงปีละสี่ต้นครึ่งโดย ประมาณ (๔.๕ ต้น) ในขณะที่ต้นไม้แต่ละต้นต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโตนานตั้งแต่ ๕ - ๑๐ ปีทีเดียว เรียกว่าโตไม่ทันใช้ และถึงแม้จะมีการปลูกป่าทดแทน มีการรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์ป่าก็ตาม แต่ยิ่งนานวันจำนวนประชากรก็ยิ่งมากขึ้น เราจึงยังได้พบกับความเสียหายอย่างรุนแรงที่มีสาเหตุจากธรรมชาติบ่อยครั้งใน ปัจจุบัน ที่เห็นและสัมผัสได้ง่ายที่สุดก็คือ อากาศร้อนขึ้น ความแห้งแล้งขยายพื้นที่กว้างขึ้นกว่าแต่ก่อน ฝนไม่ตกตามฤดู เวลาตกก็ดูเหมือนว่ามีปริมาณมาก เพราะเกิดน้ำไหลบ่าเข้าท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยมีน้ำท่วมถึงมาก่อน เนื่องจากขาดแคลนต้นไม้ใหญ่คอยทำหน้าที่ดูดซับน้ำ และ ช่วยชะลอความเร็ว - ความแรงเหมือนแต่ก่อน นี่ยังไม่ได้รวมเอาเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งเข้ามาด้วยซ้ำไป นั่นคือเรื่องที่เราทุกคนต่างก็อาศัยต้นไม้ทำหน้าที่เป็นเครื่องฟอกอากาศ ธรรมชาติให้ได้มีอากาศบริสุทธิ์หายใจกันทุกวัน ถ้าต้นไม้ขาดแคลนก็จะเท่ากับว่าเราจะหายใจอากาศที่ไม่บริสุทธิ์เท่าที่ควร เข้าไป แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับมนุษย์เราในเวลาต่อจากนี้
ตัวอย่าง ที่ยกมาเพียงเท่านี้ก็คิดว่าทุกคนน่าจะได้ถามตัวเองแล้วละว่า ถึงเวลาหรือยังที่จะจริงจังกับการใช้ผลิตภัณฑ์สารพัดอย่างที่แปรรูปจาก ต้นไม้อย่างประหยัดและคุ้มค่ากันเสียที รวมถึงช่วยกันปลูกต้นไม้ด้วย ไม่ต้องอะไรมาก เพียงในวันต้นไม้แห่งชาตินี้ ปลูกต้นไม้คนละต้นเท่านั้น ก็จะช่วยให้ธรรมชาติที่เสียหายไปค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา ร่วมใจกันจริงจังนานๆ เข้า ก็คงไม่นานเกินรอที่เราจะได้รับผลดีๆจากธรรมชาติกลับคืนมา มีความสุขสบายไปจนถึงคนในชั้นลูกชั้นหลานต่อๆ กันไป
ดาบตำรวจ วิชัย สุรยุทธ
เมื่อ พูดถึงเรื่องของความร่วมมือร่วมใจกันปลูกต้นไม้ในวันต้นไม้แห่งชาติ หลายๆ คนคงยังจำเรื่องของดาบตำรวจวิชัย สุรยุทธได้ดี เพราะเป็นข่าวเป็นคราวโด่งดังไปทั่วเมืองว่าเขาได้เที่ยวปลูกต้นไม้ในทุก ที่ ที่พอจะหยอดเมล็ดพันธุ์ลงไปได้ โดยใช้เวลาเช้าก่อนเริ่มงานและเย็นหลังเลิกงาน ถือเป็นกิจวัตรมานานนับ ๒๐ ปี ถ้าจะนับจำนวนต้นไม้ที่ปลูกมาแล้วก็มีจำนวนถึงประมาณ ๒ ล้านต้น ทีเดียว ที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือแนวความคิดในการปลูกต้นไม้ของเขา เพราะเขาจะเลือกปลูกต้นไม้ที่จะก่อประโยชน์ให้ชุมชน คือเมื่อต้นไม้โตชาวบ้านสามารถจะนำไปใช้สอยสร้างบ้านเรือนได้ ใช้เป็นอาหารได้ และเก็บขายได้เป็นต้น ซึ่งนี่เองเท่ากับเป็นการปลูกฝังให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของการปลูกต้นไม้ ว่าต้นไม้สามารถเป็นแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของตน ทำให้เกิดจิตสำนึกที่จะช่วยกันดูแลรักษาและหวงแหนในทรัพยากรป่าไม้
เมื่อ สิบกว่าปีก่อนได้เคยมีผู้คำนวนปริมาณการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากต้นไม้ของคนไทย กัน แล้วพบว่าคนหนึ่งคนจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากต้นไม้ถึงปีละสี่ต้นครึ่งโดย ประมาณ (๔.๕ ต้น) ในขณะที่ต้นไม้แต่ละต้นต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโตนานตั้งแต่ ๕ - ๑๐ ปีทีเดียว เรียกว่าโตไม่ทันใช้ และถึงแม้จะมีการปลูกป่าทดแทน มีการรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์ป่าก็ตาม แต่ยิ่งนานวันจำนวนประชากรก็ยิ่งมากขึ้น เราจึงยังได้พบกับความเสียหายอย่างรุนแรงที่มีสาเหตุจากธรรมชาติบ่อยครั้งใน ปัจจุบัน ที่เห็นและสัมผัสได้ง่ายที่สุดก็คือ อากาศร้อนขึ้น ความแห้งแล้งขยายพื้นที่กว้างขึ้นกว่าแต่ก่อน ฝนไม่ตกตามฤดู เวลาตกก็ดูเหมือนว่ามีปริมาณมาก เพราะเกิดน้ำไหลบ่าเข้าท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยมีน้ำท่วมถึงมาก่อน เนื่องจากขาดแคลนต้นไม้ใหญ่คอยทำหน้าที่ดูดซับน้ำ และ ช่วยชะลอความเร็ว - ความแรงเหมือนแต่ก่อน นี่ยังไม่ได้รวมเอาเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งเข้ามาด้วยซ้ำไป นั่นคือเรื่องที่เราทุกคนต่างก็อาศัยต้นไม้ทำหน้าที่เป็นเครื่องฟอกอากาศ ธรรมชาติให้ได้มีอากาศบริสุทธิ์หายใจกันทุกวัน ถ้าต้นไม้ขาดแคลนก็จะเท่ากับว่าเราจะหายใจอากาศที่ไม่บริสุทธิ์เท่าที่ควร เข้าไป แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับมนุษย์เราในเวลาต่อจากนี้
ตัวอย่าง ที่ยกมาเพียงเท่านี้ก็คิดว่าทุกคนน่าจะได้ถามตัวเองแล้วละว่า ถึงเวลาหรือยังที่จะจริงจังกับการใช้ผลิตภัณฑ์สารพัดอย่างที่แปรรูปจาก ต้นไม้อย่างประหยัดและคุ้มค่ากันเสียที รวมถึงช่วยกันปลูกต้นไม้ด้วย ไม่ต้องอะไรมาก เพียงในวันต้นไม้แห่งชาตินี้ ปลูกต้นไม้คนละต้นเท่านั้น ก็จะช่วยให้ธรรมชาติที่เสียหายไปค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา ร่วมใจกันจริงจังนานๆ เข้า ก็คงไม่นานเกินรอที่เราจะได้รับผลดีๆจากธรรมชาติกลับคืนมา มีความสุขสบายไปจนถึงคนในชั้นลูกชั้นหลานต่อๆ กันไป
ดาบตำรวจ วิชัย สุรยุทธ
เมื่อ พูดถึงเรื่องของความร่วมมือร่วมใจกันปลูกต้นไม้ในวันต้นไม้แห่งชาติ หลายๆ คนคงยังจำเรื่องของดาบตำรวจวิชัย สุรยุทธได้ดี เพราะเป็นข่าวเป็นคราวโด่งดังไปทั่วเมืองว่าเขาได้เที่ยวปลูกต้นไม้ในทุก ที่ ที่พอจะหยอดเมล็ดพันธุ์ลงไปได้ โดยใช้เวลาเช้าก่อนเริ่มงานและเย็นหลังเลิกงาน ถือเป็นกิจวัตรมานานนับ ๒๐ ปี ถ้าจะนับจำนวนต้นไม้ที่ปลูกมาแล้วก็มีจำนวนถึงประมาณ ๒ ล้านต้น ทีเดียว ที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือแนวความคิดในการปลูกต้นไม้ของเขา เพราะเขาจะเลือกปลูกต้นไม้ที่จะก่อประโยชน์ให้ชุมชน คือเมื่อต้นไม้โตชาวบ้านสามารถจะนำไปใช้สอยสร้างบ้านเรือนได้ ใช้เป็นอาหารได้ และเก็บขายได้เป็นต้น ซึ่งนี่เองเท่ากับเป็นการปลูกฝังให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของการปลูกต้นไม้ ว่าต้นไม้สามารถเป็นแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของตน ทำให้เกิดจิตสำนึกที่จะช่วยกันดูแลรักษาและหวงแหนในทรัพยากรป่าไม้
ความดีที่
ดาบฯ วิชัยฯ ทำมาอย่างยาวนาน
โดยไม่ได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์สิ่งที่ตนทำเลย
กลับจะถูกหาว่าเป็นคนจิตผิดปกติด้วยซ้ำไปนั้น ณ
วันนี้นอกจากคนทั่วไปจะได้เข้าใจในความมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับธรรมชาติสิ่ง
แวดล้อมของดาบตำรวจวิชัยฯ แล้ว ผลดีก็ได้เกิดต่อชุมชนของเขา
คนไทยอื่นๆที่ร่วมแผ่นดินอยู่ก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วยทางอ้อม
และที่สุด ดาบตำรวจวิชัย สุรยุทธ
ได้รับพระราชทานลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจตรีแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กันยายน
๒๕๔๘ หวังว่าคนอื่นๆ จะได้นำแนวคิดของร้อยตำรวจตรีวิชัย
สุรยุทธไปใช้บ้าง เริ่มจากวันต้นไม้แห่งชาตินี้เลยก็จะดี
ป่าไม้นับเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญในด้านสังคมและเศรษฐกิจ เมื่อจำนวนประชากรของประเทศเพิ่มขึ้น ความต้องการในด้านบริโภคย่อมขยาตัวตามไปด้วย แต่เนื่องจากทรัพยากรบางประเภทมีอยู่อย่างจำกัด เช่น ที่ดิน ป่าไม้ สินแร่ ถ่านหิน น้ำมัน ฯลฯ โดยเฉพาะ ทรัพยากรป่าไม้ เป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้ได้โดยง่าย แต่การปลูกทดแทนต้องรอเวลาและใช้งบประมาณสูงในการดูแลรักษาทำนุบำรุง
ดังนั้นปลายปี พ.ศ.2528 รัฐบาลจึงได้ประกาศนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เพื่อให้การจัดการและการพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ สามารถกระทำได้อย่างต่อเนื่องเป็นแผนระยะยาว และประสานสอดคล้องกับการพัฒนาทรัพยากรชนิดอื่นๆ และเพื่อให้ส่วนราชการรวมทั้งภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ได้มีความเข้าใจร่วมกันและถือปฏิบัติไปในทางเดียวกัน
นโยบายป่าไม้แห่งชาติ ได้กำหนดไห้ให้มีพื้นที่ป่าไม้ทั่วประเทศในอัตราร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ ทั้งนี้ได้กำหนดไว้เป็นป่าเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและป้องกันภัย ธรรมชาติอันเกิดจากน้ำท่วมและการพังทลายของดิน ตลอดทั้งเพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิจัยและนันทนาการของประชาชน คิดเป็นร้อยละ 15 ของพื้นที่ประเทศ ส่วนอีกร้อยละ 25 นั้น รัฐบาลได้กำหนดไว้เป็นป่าเศรษฐกิจเพื่อการผลิตไม้และของป่า
คุณประโยชน์ป่าไม้สำหรับมนุษย์และสัตว์โลกนั้น มีทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงได้แก่การนำมาเป็นอาหาร ยารักาาโรค ที่อยู่อาศัย ทำเส้นใยเครื่องนุ่งห่ม ทำสิ่งปลูกสร้างอาศัย ใช้เป็นวัตถุเคมี ฯลฯ
ในทางอ้อม ป่าไม้เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ฝนตก และทำให้เกอดความชุ่มชื้น ช่วยบรรเทาความร้ายแรงของพายุ ช่วยป้องกันการพังทลายของหน้าดิน เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ฯลฯ
แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ป่าไม้ได้ถูกทำลายอย่างรวดเร็วทั้งจากภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า แต่สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ การตัดไม้ทำลายป่า อันเป็นทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดมาใช้อย่างขาดแผนการดูแลบำรุงรักษาและปลูกทด แทน
จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2532 ได้กำหนดให้วันวิสาขบูชาของทุกปีเป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ ทั้งนี้นอกจากเพื่อสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในด้านป่าไม้และสิ่งแวดล้อมแล้วยังเป็นการปลูกจิตสำนึกของประชาชนให้มีความ รักและหวงแหนทรัพยากรป่าไม้อีกด้วย
กิจกรรมในวันป่าไม้แห่งชาติ
1. จัดนิทรรศการ เอกสารเผยแพร่คุณประโยชน์และความสำคัญของป่าไม้ รวมทั้งการอนุรักษ์
2. ร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับวันต้นไม้แห่งชาติ ซึ่งจัดโดยภาครัฐบาล หรือเอกชนต่างๆ เช่นปลูกต้นไม้ การป้องกันไฟป่า ปลูกต้นไม้บริเวณสถานที่ของหน่วยงานและที่สาธารณประโยชน์ โรงเรียน ศาสนสถาน เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก
- panyathai.or.th
ที่มา
- วันต้นไม้แห่งชาติ : http://www.tungsong.com/.
- พิทักษ์ป่าเพื่อรักษาชีวิต จัดทำโดยกลุ่มคนรักต้นไม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- ในวันวารมีความทรงจำ : รอมแพง อริยมาศ : นิตยสารกุลสตรี พย. ๔๘
ข้อมูลจาก : บทความพิเศษประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง "วันต้นไม้แห่งชาติ" ผลิตโดย งานบริการการผลิต ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ ฝ่ายออกอากาศวิทยุกรุงเทพ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น