วันที่ 1 กรกฎาคม ของทุกปี เป็น "วันลูกเสือแห่งชาติ "
|
|
่กอง
ลูกเสือกองแรกของโลกได้ถูกตั้งขึ้นมา ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ.2450
โดยท่าน ลอร์ด บาเดน เพาเวลส์
และกิจการลูกเสือก็ได้แพร่หลายขยายตัวไปทั่วโลกโดยได้รับการยอมรับว่า
ลูกเสือเป็นขบวนการของเยาวชน ที่ทรงคุณประโยชน์ทั้งตัวของเยาวชนเอง
และสังคม |
สำหรับ
ประเทศไทย
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงจัดตั้งกองลูกเสือป่า
ขึ้นมา เพื่อให้บรรดาข้าราชการพลเรือน
ได้รับการฝึกอบรมให้เป็นบุคคลที่มีใจรักชาติ
มีความเสียสละและมีความสามัคคีต่อกัน
ดังพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรัสไว้ว่า "
ชาติจะเจริญรุ่งเรืองได้ คนในชาติต้องเป็นคนดีก่อน
การที่จะสอนให้คนรักชาติก็ดี ให้คิดทำประโยชน์เพื่อชาติก็ดี
ต้องมุ่งอบรมคนในชาติเป็นประการแรก"
และได้ทรงพิจารณาเห็นว่า
บรรดาบุตรของเสือป่าทั้งหลายควรได้รับการอบรมให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติแต่
เยาว์ในทำนองไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก
สิ่งที่ดีงามทั้งหลายทั้งปวงที่พลเมืองที่ดีพึงจะมีจะได้ฝังแน่นในกระแส
เลือดของเยาวชนไทย คุณภาพแห่งการเป็นมนุษย์ จะได้เกิดขึ้นมาในสังคมไทย |
เมื่อ
วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2454 นั้นเอง จึงได้มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้าฯ
ประกาศตั้งกองลูกเสือกองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงซึ่งปัจจุบันคือ
โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย เรียกว่า กองลูกเสือกรุงเทพ ที่ 1
ภายหลังที่ทรงตั้งกองเสือป่าได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น
ประเทศไทยจึงนับว่าเป็นประเทศที่ 3 ของโลก ที่มีกิจการลูกเสือ
รองมาจากอเมริกา
จากนั้น นานาชาติในยุโรปจึงได้จัดตั้งกองลูกเสือของตนขึ้น
ลูกเสือกลายเป็นองค์การสากลและมีความสัมพันธ์กันทั่วโลกเป็นสื่อผูกไมตรีกัน
โดยใช้กฎของลูกเสือ 10 ประการ ผูกสัมพันธ์กันได้ไม่เว้นเชื้อชาติใด
ศาสนาใดทั้งสิ้น ถือว่า ลูกเสือทั่วโลกเป็นพี่น้องกันหมด |
กอง
ลูกเสือกองแรกทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นกองลูกเสือหลวง กระทำพิธีเข้าประจำกอง
เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2454 ทรงพระราชทานคติพจน์แก่ลูกเสือว่า
"เสียชีพ อย่าเสียสัตย์" และผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเสือไทยคนแรก คือ นาย ชัพพ์ บุนนาค |
หลัง
จาก ทรงสถาปนา กิจการลูกเสือขึ้นมาแล้ว
ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้ตราข้อบังคับลักษณะการปกครองลูกเสือ
และตั้งสภากรรมการจัดการลูกเสือแห่งชาติขึ้นโดยพระองค์
ทรงดำรงตำแหน่งสภานายก
ต่อมาทุกครั้งที่พระองค์เสด็จไปยังจังหวัดใดก็ตามก็จะทรงโปรดเกล้าฯ
ให้กระทำพิธีเข้าประจำกองลูกเสือประจำจังหวัดนั้น ๆ ให้ด้วย |
ต่อ
มา
กิจการลูกเสือไทยได้เจริญก้าวหน้าเป็นที่ยอมรับของนานาชาติดังจะเห็นได้จาก
การที่ กองลูกเสือที่ 8 ของประเทศอังกฤษ
ได้ขอพระราชทานนามกองลูกเสือของตนกองนี้ต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า
อยู่หัวว่า
"กองลูกเสือในพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม" (The King of siam own
boy scout group) มีเครื่องหมายช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ |
เมื่อ
สิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงฟื้นฟูกิจการลูกเสือไทยต่อไปอีก
โดยโปรดเกล้าฯ ให้มีการชุมนุมลูกเสือแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ
พ.ศ.2470 และจัดการชุมนุม
ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2473 ณ พระราชอุทยาน สราญรมย์
นอกจากนี้ยังโปรดเกล้า ฯ ให้มีการอบรมผู้กำกับลูกเสือที่โรงเรียนผู้กำกับ
ที่เคยเปิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่พระราชวังบ้านปืน
จังหวัดเพชรบุรีโดยคัดเลือกเอาผู้กำกับจังหวัดละหนึ่งคนเข้ามาอบรมช่วงเวลา
ปิดภาคเรียน ปีละครั้ง จนถึง พ.ศ.2475 เป็นรุ่นสุดท้าย |
หลัง
การเปลี่ยนแปลงการปกครองกิจการลูกเสือไทยได้มุ่งไปในการบำเพ็ญประโยชน์เสีย
เป็นส่วนใหญ่ มีการอบรมควบคู่กันไปกับการอบรมยุวชนทหารและเหตุการณ์
สงครามโลกครั้งที่ 2
ทำให้กิจการลูกเสือซบเซาลงไปมากต่อมาได้มีการฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อ พ.ศ.2498
โดยที่กิจการลูกเสือไทยได้เข้าสู่ระบบสากลมีการสร้างค่ายลูกเสือแห่งชาติ
ที่ตำบล บางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัด ชลบุรี มีชื่อว่า "ค่ายวชิราวุธ"
มีการเปิดอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือสำรองขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2501
และจัดตั้งกองลูกเสือสำรองกองแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2501
และในที่สุดกิจการลูกเสือก็เข้าสู่ยุคของประชาชนทั่วไป
โดยมีการพระราชทานกำเนิดลูกเสือชาวบ้าน
และเปิดอบรมขึ้นเป็นครั้งแรกที่ บ้านเหล่ากอหก ตำบลแสงพา อำเภอนาแห้ว
จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2514 |
นับ
ว่าเป็นการบังเอิญที่กิจการลูกเสือไทย
และลูกเสือโลกมีจุดมุ่งหมายในการสถาปนาคล้ายคลึงกัน
เพียงแต่ระยะเริ่มต้นการลูกเสือไทยมุ่งเน้นเรื่อง
ความรักชาติการป้องกันภัยของประเทศเป็นหลัก
พร้อมกับวางแนวทางอบรมเยาวชนให้เป็นคนดีมีคุณภาพ
ในปัจจุบันกิจการลูกเสือไทยก็ดำเนินไปเหมือนกับกิจการลูกเสือโลกเกือบทุก
ประการ จะมีความแตกต่างกับการลูกเสือประเทศอื่นก็คือ
การเข้ามาสู่ขบวนการลูกเสือของเยาวชนในแต่ละประเทศนั้น
จะเป็นลักษณะของสโมสร เอกชน และ กลุ่มสนใจ ไม่ผูกติดกับระบบโรงเรียน
การเข้ามาของสมาชิกลูกเสือเข้ามาด้วยใจสมัคร
ไม่มีการบังคับเป็นกิจกรรมนอกเวลาเรียน แต่สำหรับประเทศไทยปัจจุบัน
ลูกเสือถือว่า เป็นกิจกรรมและวิชาหนึ่ง ในหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน
เกือบทุกระดับชั้นเรียน
ดังนั้นปริมาณลูกเสือในเมืองไทยจึงมีจำนวนมากมายกว่า ลูกเสือในประเทศต่าง ๆ
ทั่วโลก |
กิจการ
ลูกเสือไทยเป็นกิจการที่พระราชทานกำเนิดโดยองค์พระประมุขของชาติแม้ปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระมหากรุณาธิคุณต่อกิจการนี้มาโดยตลอดทรง
ดำรงพระองค์ในฐานะ
องค์พระประมุขแห่งการลูกเสือไทย ขบวนการและกิจการลูกเสือไทย
เป็นขบวนการและกิจการที่ดีของเยาวชน |
กิจการ
ลูกเสือไทยถือเป็นประเพณีว่าเมื่อถึงวันที่ 1 กรกฎาคม ของทุกปี
ลูกเสือจะได้จัดให้มีพิธี ทบทวนคำปฏิญาณตนและสวนสนาม
ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เฉพาะที่กรุงเทพมหานคร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ฯ เสด็จฯ
ไปเป็นองค์ประธานในพิธีนี้ ณ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ
และอีกสิ่งหนึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนานก็คือ ทุก ๆ 4 ปี
จะจัดให้มีการชุมนุมลูกเสือแห่งชาติขึ้น เพื่อให้พี่น้องลูกเสือทั่วประเทศ
ได้มาร่วมกิจกรรมพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และทำกิจกรรมร่วมกัน
|
|
|
การลูกเสือ คือ
ขบวนการเยาวชนที่ให้การศึกษานอกเหนือการเรียนทำให้เป็นคนดี
มีความรักชาติเคารพศาสนา เทิดทูนพระมหากษัตริย์ อบรมให้ใช้ชีวิตกลางแจ้ง
บำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม รู้จักพัฒนาตนเอง
ไม่มีกีดกันในเรื่องศาสนาหรือเชื้อชาติใด ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง |
วัตถุประสงค์ การลูกเสือ คือ การฝึกอบรมบ่มนิสัย ให้เป็นพลเมืองดีตามจารีตประเพณีของบ้านเมืองอุดมคติดังต่อไปนี้
1. ให้มีนิสัยในการสังเกตและจำ เชื่อฟังและพึ่งตนเอง
2. ให้ซื่อสัตย์สุจริต มีระเบียบวินัย และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
3. ให้รู้จักบำเพ็ญตนเพื่อสาธารณประโยชน์
4. ให้รู้จักทำการฝีมือ
5. ให้มีการพัฒนาในทางกาย จิตใจ และศีลธรรม
ทั้งนี้โดยไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิการเมืองใด ๆ |
จุดหรืออุดมการณ์ของคณะลูกเสือแห่งชาติ
เพื่อพัฒนาลูกเสือทั้งทางกาย จิตใจ และศีลธรรม
ให้เป็นพลเมืองดีมีความรับผิดชอบช่วยสร้างสรรค์สังคมที่ตนอยู่ให้ดีขึ้น
ประเทศชาติมีความมั่นคง |
วิธีการฝึกลูกเสือ
1. ให้เยาวชนทั้งชาย หญิง
เป็นสมาชิกของลูกเสือหรือเนตรนารีตามความสมัครใจโดยมีผู้ใหญ่เป็นผู้แนะนำ
สั่งสอน อบรมฝึกการปกครองกันเองภายในกองของตน
และเพิ่มวิธีการฝึกอบรมมากขึ้นตามอายุ
2. ให้เด็กชายปฏิบัติกิจกรรมตามที่ตนถนัดในที่แจ้งเป็นส่วนใหญ่ และมีโอกาสบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นด้วย
3.
ให้เด็กชายได้ฝึกหัดการรับผิดชอบตัวเองและต่อบุคคลผู้อื่นเป็นขั้น ๆ
และเพิ่มการฝึกให้กว้างขวางยิ่งขึ้นเพื่อว่าจะได้เกิดความสามารถ
ความเชื่อมั่นในตนเองมีนิสัยใจคอดีเป็นที่ไว้ใจได้
สามารถในการเป็นผู้นำและปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่น |
สิ่งที่เด็กต้องการ
1. ผจญภัย (Adventure) ได้แก่การเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ที่ตื่นเต้น และไม่คาดหมายมาก่อน
2. ได้เพื่อน (Comradeship) ได้แก่การที่มีเด็กอื่น ๆ เป็นเพื่อน
3. เถื่อนธาร (The Out Door World) ได้แก่ โลกภายนอกซึ่งประกอบไปด้วยป่าเขา ลำเนาไพรลำธารทุ่งนา
4. การสนุก (Good Fun) ได้แก่ การสนุกสนานในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ
5.สุขสม (Afeeling Of Achievement) ได้แก่ ความรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ตนได้ทำงานอย่างหนึ่งอย่างใดจนประสบความสำเร็จ |
ความหมายของสี
สีเขียว |
หมายถึง |
ลูกเสือสำรอง |
สีเหลือง |
หมายถึง |
ลูกเสือสามัญ |
สีน้ำตาล |
หมายถึง |
ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ |
สีแดง |
หมายถึง |
ลูกเสือวิสามัญ |
|
ประเภทลูกเสือ, อายุชั้นเรียน
ลูกเสือสำรอง |
อายุ 8-11 |
เทียบชั้นเรียน ป.1-ป.4 |
ลูกเสือสามัญ |
อายุ 12-13 |
เทียบชั้นเรียน ป.5-ป.6 |
ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ |
อายุ 15-17 |
เทียบชั้นเรียน ม.1-ม.3 |
ลูกเสือวิสามัญ |
อายุ 17-23 |
เทียบชั้นเรียน ม.4-ม.6 |
เนตรนารีเหมือนลูกเสือ |
ลูกเสือชาวบ้าน 15-18 ปี |
|
คติพจน์ของลูกเสือประเภทต่าง ๆ
ลูกเสือสำรอง |
ทำดีที่สุด (DO YOUR BEST) |
ลูกเสือสามัญ |
จงเตรียมพร้อม (BE PREPARED) |
ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ |
มองไกล (LOOK WIDE) |
ลูกเสือวิสามัญ |
บริการ (SERVICE) |
ลูกเสือทั่วไป |
เสียชีพอย่าเสียสัตย์ |
ลูกเสือชาวบ้าน |
เสียชีพอย่าเสียสัตย์ |
|
เหล่าลูกเสือมี 3 เหล่า คือ
ลูกเสือเสนา (SCOUT)
ลูกเสือสมุทรเสนา (SEA SCOUT) เครื่องแบบกากี และขาว
ลูกเสืออากาศเสนา (AIR SCOUT) เครื่องแบบสีเทา |
องค์ประกอบที่สำคัญของลูกเสือคือ
1. ลูกเสือ
2. ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ
3. กิจกรรมกลางแจ้ง
4. อุดมการณ์
5. การบริหารงานของลูกเสือ
|
|
แหล่งอ้างอิง : หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2538 โดย ทวี รัดงาม
หนังสือ วันสำคัญของไทย โดย มุทิตากุล
หนังสือ วันสำคัญของไทย โดย สภักดิ์ อนุกูล
หนังสือ ประวัติวันสำคัญที่ควรรู้จัก โดย วรนุช อุษณกร
|
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น